มา บำรุงผิว กันเถอะ สูตรลับ ความงาม

ผิวหน้า ขาว สดใส ไร้ริ้วลอย แบบที่ผู้หญิงทุกคนต้องการ ไม่ว่าจะมีครีมบำรุงผิวดีๆ ราคาจะแพงขนาดไหน ผู้หญิงส่วนใหญ่ก็พอใจที่จะหาซื้อกันมาบำรุงผิว หรือไม่ก็ไปเข้าครอส ตามสถาน เสริมสวย ต่างๆ

แต่วันนี้เรามีวิธีบำรุงผิวง่ายๆ สามารถทำเองจากที่บ้าน ลองหาวันว่างๆ สักวันในหนึ่งสัปดาห์ มาผ่อนคลายไปกับการบำรุงผิวกันเถอะค่ะ

ครีมนม ต้านริ้วรอย


ชงชา (จะชาธรรมดา หรือผง ชาเขียว ก็ได้ค่ะ)


ประมาณ 1 ถ้วยกาแฟ แช่ทิ้งไว้ให้เย็นประมาณ 1 ช.ม. จากนั้นก็ผสมกับ

ครีมนม 3 ช้อนโต๊ะ คนให้เข้ากัน แล้วนำมาพอกผิวประมาณ 10 นาที

แล้วค่อยล้างออก
แล้วเราก็จะได้ผิวเนียนนุ่ม และผ่อนคลายไปกับกลิ่นชาหอมๆ เป็นการพักผ่อนได้ดีมากๆเลยค่ะ

วิปปิ้งครีมเพื่อผิวนุ่มทั่วเรือนร่าง


วิปปิ้งครีม 1 ถ้วย น้ำมันจมูกข้าว 1 ช้อนชา (ถ้าไม่มีก็ใช้ น้ำมันดอกทานตะวัน หรือ น้ำมันมะกอก ก็ได้ค่ะ )
ผสมให้เข้ากัน แล้วนำมาลูบไล้ให้ทั่วเรือนร่าง ทิ้งไว้ 10 นาที ล้างออกด้วยน้ำเย็น ( น้ำธรรมดาๆ นั่นน่ะค่ะ)

ผิวคุณจะนุ่มเนียน อย่างน่าประทับใจ

นมผสมคาร์โมไมล์ มาส์กผิวได้ทุกแบบ

ดอกคาโมไมล์(แบบแห้ง) หรือ ดอกเก๊กฮวย 1 กำมือ แช่ทิ้งไว้ในนมที่อุ่นถึง



ค่อนข้างร้อน ปิดฝาภาชนะ และปล่อยทิ้งไว้ประมาณ 20 นาที

จากนั้นนำมาผสมกับ รำข้าว 1 ช้อนโต๊ะและ น้ำผึ้ง 1/2 ช้อนชา
คนให้ส่วนผสมทั้งหมดเข้ากันแล้วนำมาพอกให้ทั่วใบหน้าและลำคอ ทิ้งไว้สัก 15 นาที แล้วล้างออกด้วยน้ำเย็น
(นมช่วยให้ผิวหน้าชุ่มชื้น ดอกคาร์โมไมล์ หรือ เก๊กฮวย ให้ความหอมผ่อนคลาย รำข้าว ช่วยขจัด เซลล์ผิวเก่า น้ำผึ้งช่วยให้ผิวเต่งตึง) ลองไปทำกันดูนะค่ะ

ครีมนม เพื่อ ผมสวยเก๋


ครีมนม 2 ช้อนโต๊ะ น้ำมันจมูกข้าว (หรือ น้ำมันมะกอก) 1 ช้อนชา


น้ำมะนาว 1 ช้อนชา ผสมให้เข้ากัน

แล้วนำมา นวด หมักผม และหนังศรีษะให้ทั่ว ทิ้งไว้ประมาณ 15 นาที แล้วล้างออก (เส้นผมจะนุ่ม นิ่ม ชวนน่าสัมผัสมากเลยค่ะ)

นม ผสม มะนาว เพื่อดวงตาที่สดใส

นมสด 2 ช้อนโต๊ะ น้ำชา 1 ช้อนชา น้ำมะนาว 2-3 หยด คนให้เข้ากัน แล้วนำสำลีแผ่น
มาชุบ 2 แผ่น บีบพอหมาดๆ จากนั้นก็นำมาวางบนเปลือกตา
ประมาณ 10 นาที
(ถ้าสำลีชุ่มมาก ระวังน้ำนมผสมมะนาวจะเข้าตาค่ะ แสบตาแน่ๆ เราโดนมาแล้ว!)


สาวๆ ลองไปทำตามวิธีที่แนะนำไว้ข้างต้นกันดูน่ะค่ะ
หาเวลา วันว่างๆสักวันเพื่อหันมาบำรุงผิว
ซึ่งสามารถทำได้ด้วยตัวเอง จากส่วนผสมที่สามารถหา
ซื้อได้ตามร้านค้าทั่วไป ขอให้มีความสุข กับกิจกรรมเล็กๆ
ในการบำรุงผิวสัปดาห์นี้นะค่ะ

สรรพคุณ สมุนไพร ลักษณะ

สมุนไพร บำรุงกำลัง และ อื่นๆ

ม้ากระทืบโรง : ชื่อท้องถิ่น : เดื่อเครือ ม้าทะลายโรง ม้าคอกแตก มันฤาษี กาโร
ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : เป็นไม้พุ่มรอเลื้อย เลื้อยเกาะไปตามพรรณไม้อื่นมีน้ำยางขาว สูงถึง 25 เมตร กิ่งอ่อน ก้านใบผิวใบด้ายล่าง และฐานรองดอกอ่อนมีขน ใบเดี่ยว เรื่องสลับ รูปใบหอก รูแขนงขนานแกมใบหอก รูปไข่หรือรูปของขนานแกมวงรี กว้าง 7-9 ซม. ยาว 12-18 ซม. ดอกช่อ ลักษณะทรงกลมคล้ายผลออกเดี่ยวๆ ที่ซอกใบ แยกเพศ อยู่ในช่อเดี่ยวกัน ฐานรองดอกรูปทรงกลม ผลสด รูปทรงกลม ภายในสีแดง
สรรพคุณตามตำรายาไทย : ใช้ เถา บำรุงกำลัง ต้น บำรุงร่างกาย บำรุงความกำหนัด ช่วยขับน้ำย่อย เนื้อไม้ แก้ปวดหลัง แก้ปวดหัว ทั้งต้น บำรุงธาตุ บำรุงกำลัง เป็นต้น

ฝางเสน : ต้นฝางเสนเป็นไม้ยืนต้นขนาดกลางพันธุ์หนึ่ง ใบเล็กๆเป็นแถวเรียงกัน ดอกสีเหลืองมีแซมสีแดง ดอกใหญ่มาก ดอกร่วงก็จะเกิดเป็นฝักสีน้ำตาลแก่เป็นจุดๆในเปลือกฝัก กิ่งก้านและลำต้นมีหนามแหลมคม แก่นเป็นสีแดงเข้ม รสออกขมๆ

รสและสรรพคุณ : เนื้อไม้ฝาง แก้ท้องร่วง ตุพิการ แก้ร้อนใน กระหายน้ำแก้เสมหะ ขับระดูแก่นฝาง บำรงธาตุในสตรี ขับหนอง แก้ท้องร่วง ท้องเสีย


กำแพง 7 ชั้น : ชื่อท้องถิ่น ลุ่มนก, ตะลุ่มนก, หลุมนก (ใต้), น้ำนอง, มะต่อมไก่ (เหนือ)

ลักษณะ : เป็นไม้เถายืนต้นขนาดใหญ่ เนื้อไม้สีแดงเรื่อๆ มีเส้นวงสีดำซ้อนกัน 7-9 ชั้น ใบเดี่ยว รูปหอก ปลายและโคนแหลม ลักษณะเหมือนเถาตาไก้ (ตาไก่) แต่วงรอบต้นตาไก้จะห่างกว่าและไม่ถึง 7 ชั้น เนื้อกำแพงเจ็ดชั้นจะเข้มและแน่นกว่า
สรรพคุณ : เถา รสเมาเบื่อฝาดสุขุม ต้มหรือดองสุราดื่ม บำรุงโลหิต ฟอกโลหิต แก้โลหิตเป็นพิษ ทำให้ร้อนแก้ปวดตามข้อ แก้ไขข้อพิการ เข้าข้อ แก้ประดง ขับผายลม ฟอกและขับโลหิตระดู


เถาวัลย์เปรียง : มีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Derris scandens Benth
ชื่อท้องถิ่น : เถาตาปลา เครือตาปลา เครือเขาหนัง พานไสน ย่านเหมาะ
มีลักษณะเป็น : ไม้เถาขนาดใหญ่เป็นพุ่มเลื้อย ใบเป็นใบประกอบแบบขนนก ใบย่อย รูปวงรี ดอกออกเป็นช่อห้อยลงด้านล่าง มีสีขาว กลีบดอกสีม่องดำ ผลเป็นฝักแบนเล็ก มีเมล็ด
สรรพคุณ : แก้กระษัย แก้เส้นเอ็นขอด ทำให้เส้นอ่อน บางแหล่งนิยมนำเถาหั่นตากแห้งคั่วไฟ ชงน้ำดื่มแทนชา ใช้แก้ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ถ้าใช้ดอกเหล้าจะเป็นยาขับระดู และตามตำรับยาแผนโบราณยังนำมาใช้เป็นส่วนประกอบยาอายุวัฒนะเพื่อช่วยให้ร่างกายแข็งแรง


ชะเอมไทย : ชื่อวิทยาศาสตร์ : Albizia myriophylla Benth. วงศ์ : Leguminosae - Mimosoideae

ชื่ออื่น : ชะเอมป่า (กลาง) ตาลอ้อย (ตราด) เพาะซูโพ (กะเหรี่ยงแม่ฮ่องสอน) ย่านงาย (ตรัง) ส้มป่อยหวาน (ภาคเหนือ) อ้อยช้าง (สงขลา,นราธิวาส)

ลักษณะทางพฤกษศาสตร์ : ไม้เถารอเลื้อย ลำต้น กิ่งก้านมีหนามแหลมสั้น เปลือกต้นมีรอยแตกตามขวางลำต้น ใบ เป็นใบประกอบแบบขนนกสองชั้น ใบย่อยรูปขอบขนาน ปลายใบรูปใบหอก แผ่นใบเรียบ ดอก ออกเป็นช่อตามซอกใบและปลายยอด มีดอก 2 แบบ ดอกสีเหลืองอ่อน กลีบดอกเล็ก ฝักอ่อนสีเขียว พอแก่เปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล

สรรพคุณ : ราก - แก้ไอ ขับเสมหะ ทำให้ชุ่มคอ ใช้แทนชะเอมเทศ เนื้อไม้ - บำรุงธาตุ แก้กระหายน้ำ แก้โรคในคอ วิธีและปริมาณที่ใช้ แก้ไอขับเสมหะ ใช้รากยาว 2-4 นิ้ว ต้มน้ำรับประทาน เช้า-เย็น ถ้าไม่ทุเลา รับประทานติดต่อกัน 2-4 วัน

ผักพื้นบ้าน สมุนไพรใกล้ตัว

ผักพื้นบ้าน

คือ พรรณพืชพื้นบ้านในท้องถิ่นชาวบ้านนำมาบริโภคเป็นอาหาร
เป็นยารักษาโรค ผักพื้นบ้านนอกจากจะมีคุณค่าทางโภชนาการแล้ว
ส่วนใหญ่ยังมีสรรพคุณเป็นยาสมุนไพร เนื่องจากมีรสยาหลากหลาย
อยู่ในผักพื้นบ้าน ตามทฤษฎีการแพทย์แผนไทย
ให้ความสำคัญกับรสอาหารพื้นบ้าน ดังนี้

รสฝาด มีสรรพคุณทางยา คือ ช่วยสมานแผล แก้ท้องร่วง บำรุงธาตุในร่างกาย เช่น
ยอดมะม่วง ยอดมะกอก

ยอดจิก ยอดกระโดน ฯลฯ
รสหวาน มีสรรพคุณทางยา คือ ช่วยให้มีการดูดซึมได้ดีขึ้น ทำให้ชุ่มชื้น บำรุงกำลัง แก้อ่อนเพลีย เช่น
เห็ด ผักหวานป่า
น้ำเต้า บวบ ฯลฯ
รสเผ็ดร้อน มีสรรพคุณทางยา คือ แก้ท้องอืด แก้ลมจุกเสียด ขับลม บำรุงธาตุ เช่น

กระเทียม ข่า ขิง

กระชาย ขมิ้น พริกไทยอ่อนฯลฯ

รสเปรี้ยว มีสรรพคุณทางยา คือ ขับเสมหะ ช่วยระบาย เช่น

ยอดมะขามอ่อน มะนาว

ยอดชะมวง มะดัน ยอดผักติ้ว ฯลฯ
รสหอมเย็น มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงหัวใจ ทำให้สดชื่น แก้อ่อนเพลีย เช่น

เตยหอม โสน

ดอกขจร ผักบุ้งไทย ฯลฯ
รสมัน มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงเส้นเอ็น เป็นยาอายุวัฒนะ เช่น
สะตอ ขนุขอ่อน
ถั่วพู ฟักทอง

กระถิน ชะอม ฯลฯ

รสขม มีสรรพคุณทางยา คือ บำรุงโลหิต เจริญอาหาร ช่วยระบาย เช่น

มะระขี้นก ดอกขี้เหล็ก

ใบยอ สะเดา
ผักโขม ฯลฯ

สมุนไพรไทย / Herb

สมุนไพรไทย
ความหมายของสมุนไพร
คำว่า สมุนไพร ตามพจนานุกรม ฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ. 2525 หมายถึง พืชที่ใช้ ทำเป็นเครื่องยา สมุนไพร กำเนิดมาจากธรรมชาติและมีความหมายต่อชีวิตมนุษย์โดยเฉพาะ ในทาง สุขภาพ อันหมายถึงทั้งการส่งเสริม สุขภาพ และ การรักษาโรค ความหมายของ ยาสมุนไพร ในพระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 ได้ระบุว่า ยาสมุนไพร หมายความว่า ยาที่ได้จาก พฤกษาชาติ สัตว์หรือ แร่ธาตุ ซึ่งมิได้ผสมปรุงหรือแปรสภาพ เช่น พืชก็ยังเป็นส่วนของราก ลำต้น ใบ ดอก ผล ฯลฯ ซึ่งมิได้ผ่านขั้นตอนการแปรรูปใด ๆ แต่ในทางการค้า สมุนไพร มักจะถูกดัดแปลงในรูปแบบต่าง ๆ เช่น ถูกหั่นให้เป็นชิ้นเล็กลง บดเป็นผงละเอียด หรืออัดเป็นแท่งแต่ในความรู้สึกของคนทั่วไปเมื่อกล่าวถึง สมุนไพร มักนึกถึงเฉพาะต้นไม้ที่นำมาใช้เป็นยาเท่านั้น สมุนไพร หมายถึง พืชที่มีสรรพคุณในการ รักษาโรค หรืออาการเจ็บป่วยต่าง ๆ การใช้ สมุนไพร สำหรับรักษาโรค หรืออาการเจ็บป่วยต่างๆ นี้ จะต้องนำเอา สมุนไพร ตั้งแต่สองชนิดขึ้นไปมาผสมรวมกันซึ่งจะเรียกว่า "ยา" ในตำรับยา นอกจากพืช สมุนไพร แล้วยังอาจประกอบด้วยสัตว์และ แร่ธาตุ อีกด้วย เราเรียกพืช สัตว์ หรือแร่ธาตุที่เป็นส่วนประกอบของยานี้ว่า "เภสัชวัตถุ" พืชสมุนไพร บางชนิด เช่น เร่ว กระวาน กานพลู และจันทน์เทศ เป็นต้น เป็นพืชที่มีกลิ่นหอมและมี รสเผ็ดร้อน ใช้เป็นยาสำหรับ ขับลม แก้ท้องอืด ท้องเฟ้อ พืชเหล่านี้ถ้านำมาปรุงอาหารเราจะเรียกว่า "เครื่องเทศ" ในพระราชบัญญัติยาฉบับที่ 3 ปีพุทธศักราช 2522 ได้แบ่งยาที่ได้จากเภสัชวัตถุนี้ไว้เป็น 2 ประเภทคือ
1. ยาแผนโบราณ หมายถึง ยาที่ใช้ในการประกอบ โรคศิลปะ แผนโบราณหรือในการ บำบัดโรค ของสัตว์ ซึ่งมีปรากฎอยู่ใน ตำรายาแผนโบราณ ที่รัฐมนตรีประกาศ หรือยาที่รัฐมนตรีประกาศให้เป็น ยาแผนโบราณ หรือได้รับอนุญาตให้ขึ้น ทะเบียนตำรับยา เป็นยาแผนโบราณ

2. ยาสมุนไพร หมายถึงยาที่ได้จากพืชสัตว์ แร่ธาตุ ที่ยังมิได้ผสมปรุงหรือแปรสภาพ สมุนไพร นอกจากจะใช้เป็นยาแล้ว ยังใช้ประโยชน์เป็นอาหาร ใช้เตรียมเป็นเครื่องดื่ม ใช้เป็น อาหารเสริม เป็นส่วนประกอบในเครื่องสำอาง ใช้แต่งกลิ่น แต่งสีอาหารและยา ตลอดจนใช้เป็น ยาฆ่าแมลง อีกด้วย ในทางตรงกันข้าม มีสมุนไพรจำนวนไม่น้อยที่มีพิษ ถ้าใช้ไม่ถูกวิธีหรือใช้เกินขนาดจะมีพิษถึงตายได้ ดังนั้นการใช้ สมุนไพร จึงควรใช้ด้วยความระมัดระวังและใช้อย่างถูกต้อง ปัจจุบันมีการตื่นตัวในการนำ สมุนไพร มาใช้พัฒนาประเทศมากขึ้น สมุนไพร เป็นส่วนหนึ่งในแผน พัฒนา เศรษฐกิจ และสังคมแห่งชาติ กระทรวงสาธารณสุขได้ดำเนิน โครงการ สมุนไพรกับสาธารณสุขมูลฐาน โดยเน้นการนำสมุนไพรมาใช้ บำบัดรักษาโรค ใน สถานบริการสาธารณสุข ของรัฐมากขึ้น และ ส่งเสริมให้ปลูก สมุนไพร เพื่อใช้ภายในหมู่บ้านเป็นการสนับสนุนให้มีการใช้ สมุนไพร มากยิ่งขึ้น อันเป็นวิธีหนึ่งที่จะช่วยประเทศชาติประหยัดเงินตราในการสั่งซื้อ ยาสำเร็จรูป จากต่างประเทศได้ปีละเป็นจำนวนมาก
สมุนไพร หมายถึง “พืชที่ใช้ทำเป็นเครื่องยา” ส่วน ยาสมุนไพร หมายถึง “ยาที่ได้จากส่วนของพืช สัตว์ และแร่ ซึ่งยังมิได้ผสมปรุง หรือ แปรสภาพ” ส่วนการนำมาใช้ อาจดัดแปลงรูปลักษณะของสมุนไพรให้ใช้ได้สะดวกขึ้น เช่น นำมาหั่นให้มีขนาดเล็กลง หรือ นำมาบดเป็นผงเป็นต้นมีแต่พืชเพียงอย่างเดียวหามิได้เพราะยังมีสัตว์และแร่ธาตุอื่นๆอีกสมุนไพร ที่เป็นสัตว์ได้แก่ เขา หนัง กระดูก ดี หรือเป็นสัตว์ทั้งตัวก็มี เช่น ตุ๊กแกไส้เดือน ม้าน้ำ ฯลฯ
"พืชสมุนไพร" นั้นตั้งแต่โบราณก็ทราบกันดีว่ามีคุณค่าทางยามากมายซึ่ง เชื่อกันอีกด้วยว่า ต้นพืชต่างๆ ก็เป็นพืชที่มีสารที่เป็นตัวยาด้วยกันทั้งสิ้นเพียงแต่ว่าพืชชนิดไหนจะมีคุณค่าทางยามากน้อยกว่ากันเท่านั้น"พืชสมุนไพร" หรือวัตถุธาตุนี้ หรือตัวยาสมุนไพรนี้ แบ่งออกเป็น 5 ประการ
1. รูป ได้แก่ ใบไม้ ดอกไม้ เปลือกไม้ แก่นไม้ กระพี้ไม้ รากไม้ เมล็ด
2. สี มองแล้วเห็นว่าเป็นสีเขียวใบไม้ สีเหลือง สีแดง สีส้ม สีม่วง สีน้ำตาล สีดำ
3. กลิ่น ให้รู้ว่ามรกลิ่น หอม เหม็น หรือกลิ่นอย่างไร
4. รส ให้รู้ว่ามีรสอย่างไร รสจืด รสฝาด รสขม รสเค็ม รสหวาน รสเปรี้ยว รสเย็น
5. ชื่อ ต้องรู้ว่ามีชื่ออะไรในพืชสมุนไพรนั้นๆ ให้รู้ว่า ขิงเป็นอย่างไร ข่า เป็นอย่างไร ใบขี้เหล็กเป็นอย่างไร
ปัจจุบันมีผู้พยายามศึกษาค้นคว้าเพื่อพัฒนายาสมุนไพรให้สามารถนำมาใช้ในรูปแบบที่สะดวกยิ่งขึ้น เช่น นำมาบดเป็นผงบรรจุแคปซูล ตอกเป็นยาเม็ด เตรียมเป็นครีมหรือยาขี้ผึ้งเพื่อใช้ทาภายนอก เป็นต้น ในการศึกษาวิจัยเพื่อนำสมุนไพรมาใช้เป็นยาแผนปัจจุบันนั้น ได้มีการวิจัยอย่างกว้างขวาง โดยพยายามสกัดสารสำคัญจากสมุนไพรเพื่อให้ได้สารที่บริสุทธิ์ ศึกษาคุณสมบัติทางด้านเคมี ฟิสิกส์ของสารเพื่อให้ทราบว่าเป็นสารชนิดใด ตรวจสอบฤทธิ์ด้านเภสัชวิทยาในสัตว์ทดลองเพื่อดูให้ได้ผลดีในการรักษาโรคหรือไม่เพียงใด ศึกษาความเป็นพิษและผลข้างเคียง เมื่อพบว่าสารชนิดใดให้ผลในการรักษาที่ดี โดยไม่มีพิษหรือมีพิษข้างเคียงน้อยจึงนำสารนั้นมาเตรียมเป็นยารูปแบบที่เหมาะสมเพื่อทดลองใช้ต่อไป
(ขอบคุณบทความ จาก..สมุนไพรดอตคอม)